ผลวิจัยชี้ คนขับแอพเรียกรถและผู้ปกครองเด็ก มักถูกรบกวนการขับขี่ด้วยโทรศัพท์มากที่สุด

เราอาจจะเห็นว่าในสมัยนี้ผู้คนใช้โทรศัพท์แทบจะตลอดเวลา แม้กระทั่งตอนขับรถ นอกจากใช้เพื่อสื่อสารหรือเปิดระบบนำทางแล้ว บางคนยังไปถึงขั้นว่าถ่าย TikTok ขณะขับรถกันเลยทีเดียว 

จึงอาจเป็นที่มาของงานวิจัยที่ว่า คนที่ทำงานอิสระและผู้ปกครองเด็กมีโอกาสที่จะถูกรบกวนการขับขี่ด้วยโทรศัพท์ขณะขับขี่

  • แบ่งกิจกรรมออกเป็น 2 ประเภท
  • อาจใช้ระบบแฮนส์ฟรีช่วยนะ
  • คนขับแอพเรียกรถผู้ปกครองเด็กมีความเสี่ยงมากกว่า

แบ่งกิจกรรมที่รบกวนการขับขี่เป็น 2 ประเภท

IIHS ได้ทำการสำรวจผู้ขับขี่กว่า 2,000 คนในสหรัฐฯ ถึงสิ่งที่พวกเขาทำในขณะขับรถ ระบุว่า

“สิ่งที่ทำจะถูกจัดเป็นหมวดหมู่กิจกรรมทั่วไปและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์มือถือหรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เหล่านี้จะรวมถึงการพูดคุยและส่งข้อความปกติและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับสมาร์ทโฟนอย่างการใช้ระบบนำทางหรือดูฟีดโซเชียลมีเดีย และบางกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์เหล่านี้ ผู้ขับขี่จะถูกถามว่าใช้ระบบแฮนด์ส์ฟรีด้วยหรือไม่”

กล่าวโดยสรุปก็คือ กิจกรรมถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ กิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้อง โดยสำหรับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์จะดูด้วยว่าได้ใช้โหมดที่ไม่ต้องแตะโทรศัพท์ด้วยหรือไม่

ผลจากการสำรวจพบว่า 2 ใน 3 ของผู้เข้าร่วมการสำรวจกล่าวว่าพวกเขาเคยทำสิ่งที่รบกวนการขับขี่ในช่วง 30 วันที่ผ่านมา และครึ่งหนึ่งของผู้เข้าร่วมยอมรับว่าพวกเขาทำสิ่งที่รบกวนการขับขี่อย่างน้อยหนึ่งอย่างในช่วงเวลาส่วนใหญ่ขณะขับรถ

แม้ว่าผลสำรวจที่เห็นนั้นจะดูไม่ดีนัก แต่การสำรวจครั้งนี้ไม่ชัดเจนว่านับรวมการใช้โทรศัพท์ขณะติดไฟแดงด้วยหรือไม่ หรือนับเฉพาะตอนรถเคลื่อนที่เท่านั้น

อาจใช้ระบบแฮนส์ฟรีช่วยนะ

ข่าวดีก็คือ ผู้เข้าร่วมการสำรวจส่วนใหญ่กล่าวว่าพวกเขาจะใช้ระบบแบบแฮนส์ฟรี เช่น การสั่งงานด้วยเสียงเพื่อค้นหาสถานที่ในแอพนำทางหรือการส่งข้อความ ซึ่งทำให้ความอันตรายลดลง แต่ในทางเทคนิคแล้วยังเป็นการรบกวนการขับขี่

แต่สิ่งที่แย่ก็คือ 8% ของผู้ที่ทำการสำรวจครั้งนี้ยอมรับว่าพวกเขาเล่นเกมบนโทรศัพท์เป็นประจำในขณะที่ขับรถ ซึ่งแน่นอนว่าอันตรายเป็นอย่างมาก

 

คนขับแอพเรียกรถมีแววถูกรบกวนการขับขี่มากกว่า

ในการสำรวจยังพบว่าผู้ที่ทำงานอิสระหรือ Gig Workers เช่นคนขับ Grab Uber หรือ Lyft “มีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่รบกวนสมาธิมากกว่าคนขับรถแบบอื่น ๆ ถึงสองเท่าและใช้แอพในสมาร์ทโฟนเป็นประจำขณะขับรถมากกว่าเกือบสี่เท่า”

เหตุผลนั่นเป็นเพราะผู้ที่ทำอาชีพนี้จะต้องติดต่อสื่อสารกับลูกค้าอยู่ตลอดเวลาขณะขับรถ และพวกเขาอาจต้องใช้โทรศัพท์เพื่อสร้างความบันเทิงให้ตัวเองในขณะขับรถ เพราะต้องใช้เวลาอยู่ในรถนาน

ผู้ปกครองเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปีก็มีความเสี่ยงเช่นกัน

อีกผลลัพธ์ที่น่าสนใจอีกอย่างคือ ผู้ปกครองของเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปีนั้น “มีแนวโน้มในการทำกิจกรรมที่ไม่ใช้โทรศัพท์มากกว่าผู้ขับคนอื่น ๆ ถึง 65% , มีแนวโน้มที่จะถูกเบี่ยงเบนความสนใจจากอุปกรณ์ใด ๆ ที่ 31% และ มีแนวโน้มที่จะมีส่วนร่วมในกิจกรรมที่ใช้สมาร์ทโฟนถึง 47%”

ผู้ปกครองยัง “มีแนวโน้มที่จะวิดีโอคอลเป็นประจำ รวมถึงตรวจสอบรายงานสภาพอากาศและกิจกรรมอื่น ๆ จากสมาร์ทโฟนมากกว่าคนขับที่ไม่ได้เป็นผู้ปกครองของเด็กอายุ 18 หรือต่ำกว่าถึง 50%”

อ่านเพิ่มเติม : 5 เพลงที่ “ปลอดภัย” และ “รบกวนสมาธิ” ที่สุดหากฟังระหว่างขับรถ

จริง ๆ แล้วปัญหานี้เกิดกับทุกคน

อย่างไรก็ตาม กลุ่มผู้ปกครองและผู้ที่ทำงานอิสระนั้นไม่ได้เป็นกลุ่มที่มีปัญหาในด้านการใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเพียงกลุ่มเดียว แต่จริง ๆ แล้วมันคือปัญหานั้นไม่ได้จำกัดที่อายุหรืออาชีพใด ๆ เลย เพราะสำนักบริหารความปลอดภัยการจราจรบนทางหลวงแห่งชาติ (IIHS) ประมาณการว่าจะมีผู้เสียชีวิตจากการถูกรบกวนขณะขับขี่ถึง 3,000 คนในปี 2020

ดังนั้น เราไม่ควรใช้โทรศัพท์ขณะขับขี่ หากมีความจำเป็นในการใช้งานโทรศัพท์อาจต้องใช้ในรถที่มีระบบที่จะลดการรบกวนการขับขี่อย่าง Apple CarPlay หรือ Android Auto และหากมีการแจ้งเตือนใด ๆ นั้นก็ไม่สำคัญเท่าการเอาชีวิตของเราไปเสี่ยงกับอุบัติเหตุที่จะเป็นอันตรายกับทั้งตัวเราและผู้อื่นหรอกครับ

อ่านเพิ่มเติม : อีกไม่นาน การมีมือถืออยู่ข้างกาย อาจคล้ายการเปิดขวดไวน์ไว้ข้างตัว ขณะขับรถ

Source: ผลวิจัยชี้ คนขับแอพเรียกรถและผู้ปกครองเด็ก มักถูกรบกวนการขับขี่ด้วยโทรศัพท์มากที่สุด